ลิเวอร์พูล จะทำลายสถิติทีมที่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ได้หรือไม่

ipro999.com ลิเวอร์พูล จะทำลายสถิติทีมที่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ได้หรือไม่

ลิเวอร์พูล น่าจะทำลายสถิติทีมที่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ เพราะถ้าหากทั้งพวกเขาและ แมนฯ ซิตี้ ต่างก็ยังชนะต่อไปเรื่อยๆ

แต้มมันก็จะขาดตอนจบนัดที่ 31 ของซีซั่นที่ ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดบ้านเจอกับ คริสตัล พาเลซ ทำให้ ลิเวอร์พูล จะได้แชมป์ตอนยังเหลืออีก 7 นัดให้เล่น ขณะที่สถิติก่อนหน้านี้อยู่ที่ 5 นัด ซึ่งเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดฤดูกาล 2000-01 กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดซีซั่น 2017-18

วันนี้เราก็จะมาเฉลย 3 อันดับใน 6 ลีกดังของทวีปยุโรป อันประกอบไปด้วย พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, บุนเดสลีกา เยอรมัน, ลา ลีกา สเปน, กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี, ลีก เอิง ฝรั่งเศส และ สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ที่ได้แชมป์ลีกเร็วที่สุดกัน

เซลติก ฤดูกาล 2016-17 ได้แชมป์ตอนเหลือ 8 นัด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาคุม เซลติก เป็นซีซั่นแรก ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างชื่อให้ตัวเองอีกครั้ง หลังจากต้องแยกทางกับ ลิเวอร์พูล แบบน่าผิดหวังชนิดที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาไม่ดีเท่าไหร่ตามไปด้วย

แน่นอนว่าแค่การพา เซลติก ได้แชมป์ลีกมันคงไม่ทำให้เขามีชื่อเสียงที่ดีเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าฤดูกาลนั้น เรนเจอร์ส คู่อริตัวฉกาจของพวกเขาจะกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้เป็นซีซั่นแรก แต่สภาพทีมของ เรนเจอร์ส ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับ เซลติก ให้สูสีเหมือนในอดีตได้ ดังนั้นผลงานของ ร็อดเจอร์ส มันก็ต้องเข้าขั้นยอดเยี่ยมจริงๆ มันถึงจะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูดีขึ้น

สุดท้ายแล้วกุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือก็ทำแบบนั้นได้ เพราะ เซลติก ได้แชมป์ลีกตั้งแต่ตอนที่ยังเหลือเกมให้เล่นอีก 8 นัด โดยเกมที่ช่วยรับประกันแชมป์คือนัดที่ชนะ ฮาร์ทส์ 5-0 แถมพวกเขายังไม่แพ้ใครในลีกตลอดทั้งฤดูกาลเลยด้วย แบ่งเป็นชนะ 34 เกม กับเสมอ 4 หน

ในซีซั่นนั้น สกอตต์ ซินแคลร์ ดาวเตะ เซลติก ก็เป็นรองดาวซัลโวสูงสุดของลีก จากการทำไป 21 ประตู ส่วน มุสซ่า เดมเบเล่ กองหน้าชาวฝรั่งเศสที่ตอนนี้อยู่กับ โอลิมปิก ลียง และเป็นที่สนใจของหลายทีมในทวีปยุโรปนั้น ก็เล่นให้กับทีมของ ร็อดเจอร์ส ในตอนนั้นได้ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ด้วยการทำไป 17 ประตู จนทำให้เขาเป็นอันดับ 3 ร่วมในชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดของลีก

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ฤดูกาล 2015-16 ได้แชมป์ตอนเหลือ 8 นัด
การเข้ามาของ อังเคล ดิ มาเรีย ทำให้เกมรุกของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เหนือชั้นกว่าบรรดาคู่แข่งร่วมลีกมากขึ้นไปอีก หลังจากเดิมทีพวกเขาก็มีเกมรุกที่แข็งแกร่งกว่าบรรดาทีมอื่นๆ ในฝรั่งเศสอยู่แล้ว และในซีซั่นนั้น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ทำประตูในลีกได้ถึง 38 ลูกเลยทีเดียว

ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของทีมภายใต้การคุมทัพของ โลร็องต์ บล็องก์ ส่งผลให้ “เปแอสเช” การันตีการเป็นแชมป์ตั้งแต่ตอนที่ยังเหลือเกมให้เล่นอีก 8 นัด ซึ่งเกมการันตีแชมป์ของพวกเขาก็เป็นเกมที่สวยหรูสุดๆ จากการที่ชนะ ทรัวส์ ไม่มากไม่มายอะไร แค่ 9-0 เท่านั้นเอง! โดยในซีซั่นนั้น ปารีสฯ ยังกวาดแชมป์ทุกรายการภายในประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็น เฟร้นช์ คัพ, เฟร้นช์ ลีก คัพ และ โทรเฟ่ เดส์ ช็องปิยงส์ (เทียบเท่ากับ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ของอังกฤษ)

– บาเยิร์น มิวนิค ฤดูกาล 2013-14 ได้แชมป์ตอนเหลือ 7 นัด
ในซีซั่นนั้น โจเซป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาเป็นเทรนเนอร์คนใหม่ของ บาเยิร์น ทำให้หลายคนคาดหวังว่าเขาจะพา “เสือใต้” ครองความยิ่งใหญ่ได้เหมือนตอนที่เขากุมบังเหียน บาร์เซโลน่า แถมในช่วงซัมเมอร์ของปี 2013 บาเยิร์น ก็ยังได้นักเตะอย่าง มาริโอ เกิทเซ่ และ ติอาโก้ อัลกันตาร่า มาร่วมทีมด้วย

แม้ว่าสุดท้ายแล้ว กวาร์ดิโอล่า จะพา บาเยิร์น ไปได้ไกลสุดในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก เพียงแค่รอบรองชนะเลิศ แต่กับรายการในประเทศแล้วนั้น เขาทำผลงานได้ตามเป้าหมาย เพราะหลังจากแห้วแชมป์ เดเอฟแอล-ซูเปอร์คัพ ตอนต้นฤดูกาล บาเยิร์น ก็ได้ทั้งแชมป์ บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ-โพคาล ไปครองในท้ายที่สุด แถมซีซั่นนั้นทีมของ กวาร์ดิโอล่า ยังได้แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ กับศึกชิงแชมป์สโมสรโลกอีก

ในด้านแชมป์ลีกนั้น ถึงแม้มันจะเป็นรายการที่ถูกมองว่า บาเยิร์น “สมควรจะต้องคว้ามาให้ได้อยู่แล้ว” เมื่อเทียบกับเรื่องที่ว่าพวกเขามีศักยภาพเหนือกว่าทีมอื่นๆ แต่ กวาร์ดิโอล่า ก็ยกระดับได้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองตั้งแต่ตอนที่ยังเหลืออีก 7 นัด ทำให้มันเป็นการได้แชมป์ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ บุนเดสลีกา ด้วย ส่วนเจ้าของสถิติเดิมก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น บาเยิร์น ชุดซีซั่น 2012-13 นั่นเอง โดยเกมที่การันตีแชมป์ให้กับ บาเยิร์น ก็คือการชนะ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 3-1

 

 

————————————————————————

สมัคร โปรโมชั่นภายในเดือนนี้ รับโบนัสร้อนแรง แอดเลย ที่ line:@ipro356